Popular Posts

Tuesday, April 9, 2013

อัมพฤกษ์-อัมพาตมีอาการเเตกต่างกันอย่างไร

อัมพฤกษ์-อัมพาตมีอาการเเตกต่างกันอย่างไร

        โรคหลอดเลือดสมองมักเป็นในผู้ที่มีอายุกลางคนจนถึงสูงอายุ ในสหรัฐอเมริกาจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละ 2 แสนคน! และจะเพิ่มขึ้นตามอายุ ฉะนั้นโรคนี้จึงเป็นปัญหามากเนื่องจากจำนวนผู้สูงอายุในโลกนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ในประเทศไทยในขณะนี้ (พ.ศ.2548) มีผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีถึง 10.2% และคาดว่าใน พ.ศ. 2568 จะมีผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี ถึง 20% stroke

        เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับที่ 3 ของโลก ในปี ค.ศ.2002 (2545) มีผู้เสียชีวิตจาก stroke ทั่วโลกถึง 5.5 ล้านคนเป็นหญิงถึง 3 ล้านคน ในประเทศไทยมีผู้เป็นโรคนี้ 150,000 คนต่อปี หรือ 1 คนทุก 4 นาที ประมาณการว่าผู้ป่วยโรคนี้ 1 คนใช้งบประมาณ 100,000 – 1,000,000 บาทต่อปีในการดูแลรักษาจะเป็นยอดเงินถึงปีละ 15,000 ล้านบาท ในปัจจุบันนี้ประชาชนชาวไทยมีความเสี่ยงต่อโรคนี้ถึง 18 ล้านคน ซึ่งน่าที่จะลดยอดนี้ได้ถึง 50% ซึ่งจะมีการรณรงค์ป้องกันโรคนี้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 2550 ซึ่งจะสามารถช่วยคนได้ 7.5 หมื่นคนต่อปี หรือจะเป็นการประหยัดเงินได้ถึง 7,500 ล้านบาทต่อปี



ปัจจัยเสี่ยงของการที่หลอดเลือดจะตีบและอุดตัน (atherosclerosis) ก็คล้ายๆโรคของหลอดเลือดตีบและอุดตันทั่วร่างกาย โดยเฉพาะหลอดเลือดของหัวใจ กล่าวคือ พันธุกรรม เพศชาย อายุ ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน อ้วน ไม่ออกกำลังกาย ความเครียด ซึ่งพยาธิสภาพของหลอดเลือดมักมีขึ้นตั้งแต่เกิด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย โดยทั่วๆไปแล้วก่อนที่จะมีอาการโดยเฉพาะที่หัวใจ หลอดเลือดมักต้องตีบ 50-75% ของเส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดเลือด ทั้งนี้จะต้องมีการแตกของ “ก้อนไขมัน” ที่อยู่ใต้ผนังหลอดเลือดทำให้มีปฏิกิริยาและเกิดการอุดตันของหลอดเลือด ฯลฯ

ผู้ที่เป็นอัมพฤกษ์-อัมพาตมักจะมีอาการขึ้นมาทันทีทันใด คือพูดไม่ได้ หรือ แขน ขาไม่มีแรง ชา หรือเคลื่อนไหวไม่ได้ ความผิดปกติอาจเป็นแค่นี้ หรือเป็นมากขึ้น หรือดีขึ้น อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว สาเหตุอาจเกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ถ้าขาดเลือด เพียงไม่กี่วินาทีจนถึงหลายนาทีอาจทำให้เกิดอาการอัมพฤกษ์อัมพาตได้ ถ้าเลือดสามารถไหลได้ตามปกติ ในระยะเวลาที่รวดเร็วผู้ป่วยอาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างครบถ้วน แต่ถ้าสมองขาดเลือดนานเกินไปเซลล์ของสมองอาจตายได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายจะไม่กลับคืนสู่สภาพเดิม ถ้าอาการมีนานกว่า 24 ชั่วโมงถือได้ว่าเป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาตแล้ว

การไหลน้อยของเลือด ในหลอดเลือดสมอง อาจเกิดขึ้นได้ในกรณี ที่มีความดันโลหิตต่ำ เช่น จากการเต้นไม่เป็นจังหวะของหัวใจ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน หรือจากการเสียเลือดและช็อก ถ้าหลอดเลือดสมองมีเลือดน้อยไปนานๆจะทำให้เกิดการตายของเซลล์สมองได้ ซึ่งจะนำไปสู่อัมพฤกษ์อัมพาต

อัมพฤกษ์-อัมพาต ยังเกิดได้จากการที่หลอดเลือดสมองแตก ทำให้มีเลือดออกไปกดเซลล์สมองและมีอาการต่างๆตามมา เวลามีอัมพฤกษ์-อัมพาตเกิดขึ้นแพทย์จะต้องวินิจฉัยสาเหตุให้ได้ว่าเกิดจากโรคอะไร หลอดเลือด มะเร็ง หรือโรคทางเส้นประสาทเอง ถ้าเป็นโรคของหลอดเลือดเอง ต้องวินิจฉัยให้ได้ว่าเป็นการตีบ อุดตัน หรือหลอดเลือดแตก เพราะการรักษาไม่เหมือนกัน ถ้าวินิจฉัยและรักษาผิดอาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้

การตีบของหลอดเลือดมักเกิดจากมีไขมันไปเกาะที่ใต้ผนังของหลอดเลือดใหญ่ที่อยู่นอกสมอง ไขมันนี้อาจหลุดและไหลไปอุดตันในหลอดเลือดที่เล็กกว่าในสมองทำให้เกิดอาการได้ หรือหลอดเลือดในสมองอาจมีการอุดตันเอง ผู้ป่วยอาจมีอาการเตือนมาก่อน คือ แขนขาไม่มีแรง แต่เป็นเพียงชั่วครู่ ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัย รักษาที่ถูกต้องอาจจะเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาตได้ในโอกาสต่อมา

การอุดตันของหลอดเลือดสมองอาจมาจากก้อนเลือด(หรือไขมัน)ที่หลุดมาจากหัวใจหรือหลอดเลือดอื่นได้ ซึ่งในกรณีนี้อาการของอัมพฤกษ์-อัมพาตมักเป็นมากทันทีที่เกิดอาการ

การป้องกันการเกิดอัมพฤกษ์-อัมพาตคือ การหาปัจจัยเสี่ยง คือความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง บุหรี่ อ้วน ไม่ออกกำลังกาย และความเครียด ฉะนั้นทุกๆคนจึงควรหมั่นวัดความดันโลหิต ความดันโลหิตมี 2 ระดับ บนเรียกว่า systolic ซึ่งไม่ควรสูงเกินกว่า 135 ระดับล่างเรียกว่า diastolic ไม่ควรสูงเกินกว่า 85 ควรวัดน้ำตาลในเลือดซึ่งควรอยู่ต่ำกว่า 100 มิลลิกรัม%

        ถ้าอยู่ระหว่าง 100-126 ถือว่าเป็นว่าที่เบาหวาน ถ้าสูงกว่า 126 ถือว่าเป็นเบาหวาน ต้องวัดไขมันในเลือด หา total cholesterol, triglyceride และ HDL ซึ่งไขมัน 2 ตัวแรกเป็นไขมันที่ไม่ดีถ้ามีมากไป ส่วน HDL ยิ่งสูงจะยิ่งดี จะป้องกันโรคหลอดเลือดตีบและอุดตัน total cholesterol ไม่ควรสูงเกิน 200 มิลลิกรัม% triglyceride ไม่ควรเกิน 150 มิลลิกรัม% HDL ควรสูงกว่า 50 มิลลิกรัม% ในชายและ 60 ในหญิง อัตราส่วนของ cholesterol ต่อ HDL ในชายควรต่ำกว่า 5 ในหญิงควรต่ำกว่า 4.5 นอกจากนั้นไขมัน LDL (low density liproprotein) ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีถ้ามีมากไป ควรจะต่ำกว่า 130 มิลลิกรัมในผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจ แต่ผู้ที่เคยเป็นโรคหัวใจหรือเป็นเบาหวาน (ถึงแม้จะยังไม่เป็นโรคหัวใจ) LDL ควรต่ำกว่า 100

โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคไขมันในเลือดสูงควรได้รับการตรวจ วินิจฉัย รักษาภายใต้การควบคุมของแพทย์ แต่หลักการคือ ออกกำลังกายที่เหมาะสม และรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกายที่เหมาะสมคือ หนึ่ง ต้องเป็นการออกกำลังกายที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและนานพอคือ 30-40 นาที สอง หนักพอคือให้หัวใจเต้นประมาณ 70% ของความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้ (วิธีคำนวณความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้คือ 220-อายุ(ปี) เช่น คนอายุ 60 ปี = 220-60 = 160 ครั้ง 70% ของ 160 คือ 112 ครั้งต่อนาที) แต่ในทางปฏิบัติถ้าไม่มีเครื่องวัดชีพจรอาจไม่ต้องวัด แต่ออกกำลังกายให้รู้สึกเหนื่อย หอบเล็กน้อย และมีเหงื่อออก และสาม ต้องทำอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ วิธีการออกกำลังกายที่ดีคือการเดินเร็วๆ วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ถีบจักรยานอยู่กับที่ เต้นแอโรบิก ฯลฯ

ขอบคุณบทความจาก http://www.eldercarethailand.com/content/view/312/59/

No comments:

Post a Comment