โรคสมาธิสั้น (ADHD) คืออะไร
โรคสมาธิสั้น (ADHD) ย่อมาจากคำว่า Attention Deficit Hyperactivity Disorder
เป็นโรคที่พบได้ บ่อยในวัยเด็ก โดยที่เด็กจะไม่สามารถควบคุมสมาธิและการเคลื่อนไหวของตนเอง
ได้ จึงก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ผลการเรียนตกต่ำ แม้ระดับสติปัญญาจะปกติ มีปัญหาด้าน
ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ถึงแม้จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ยังพบว่าหนึ่งในสามของเด็กยังคงมีอาการอยู่บ้างหรือ
บางคนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังอาจมีอาการเต็มรูปแบบอีกด้วย ซึ่งยังเพิ่มโอกาสการเกิดพยาธิ สภาพทางจิต
อื่นๆ ตามมา
เป็นโรคที่พบได้ บ่อยในวัยเด็ก โดยที่เด็กจะไม่สามารถควบคุมสมาธิและการเคลื่อนไหวของตนเอง
ได้ จึงก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ผลการเรียนตกต่ำ แม้ระดับสติปัญญาจะปกติ มีปัญหาด้าน
ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ถึงแม้จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ยังพบว่าหนึ่งในสามของเด็กยังคงมีอาการอยู่บ้างหรือ
บางคนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังอาจมีอาการเต็มรูปแบบอีกด้วย ซึ่งยังเพิ่มโอกาสการเกิดพยาธิ สภาพทางจิต
อื่นๆ ตามมา




ต่างๆ
การวินิจฉัย (Diagnosis)
สมาคมจิตแพทย์อเมริกา (American Psychiatric Association) ได้จัดทำ guideline
ในการวินิจฉัย เรียกว่า DSM-IV (Diagnostic and Statistic Manual of Mental Disorders)
ซึ่งแบ่งอาการเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ inattention และ hyperactivity-impulsivity หลักการวินิจฉัย
แสดงดังนี้

ในการวินิจฉัย เรียกว่า DSM-IV (Diagnostic and Statistic Manual of Mental Disorders)
ซึ่งแบ่งอาการเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ inattention และ hyperactivity-impulsivity หลักการวินิจฉัย
แสดงดังนี้


ดังกล่าวต้องเป็นมาต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งความรุนแรงของอาการมีผลกระทบต่อการปรับตัว


กิจกรรมอื่นๆ









และอาการดังกล่าวต้องเป็นมาต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งความรุนแรงของอาการมีผลกระทบ
ต่อการปรับตัว




เพียงความรู้สึกกระวนกระวายหรือกระสับกระส่าย)









ที่โรงเรียน

สาเหตุของโรค
สาเหตุที่แน่นอนยังไม่ทราบแน่ชัดแต่เป็นที่ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่า สาเหตุของ ADHD
ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง แต่เกิดจากหลายๆ สาเหตุ ดังนั้นปัจจัยต่างๆ ที่มีการศึกษาว่า
อาจเกี่ยวข้องกับการเกิด ADHD พอสรุปได้ดังนี้คือ

ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง แต่เกิดจากหลายๆ สาเหตุ ดังนั้นปัจจัยต่างๆ ที่มีการศึกษาว่า
อาจเกี่ยวข้องกับการเกิด ADHD พอสรุปได้ดังนี้คือ











ใช้ยาในการรักษา ให้ผลในการรักษาดีและสามารถอธิบายกลไกการออกฤทธิ์ของยาได้


Methylphenidate (Ritalin®), Amphetamine และ Monoamine oxidase inhibitor
(MAOI) ซึ่งออกฤทธิ์โดยการเพิ่มการหลั่งของ dopamine จากปลายประสาทและป้องกันการ
ดูดซึมกลับของ dopamine ทำให้มี dopamine ใน synaptic cleft มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม
สาเหตุของ ADHD ก็ไม่สามารถอธิบายจากการที่มี dopamine ต่ำเพียงอย่างเดียว เพราะไม่ใช่
dopamine agonist ทุกตัวจะรักษา ADHD ได้ผล อีกทั้ง haloperidol ซึ่งมีฤทธิ์ลด dopamine
ก็สามารถลดอาการของ ADHD ได้อีก แสดงว่าสาเหตุของ ADHD ที่เกิดจากการขาด dopamine
เองยังอาจมีความสัมพันธ์กับสารสื่อประสาทตัวอื่นๆ อีกเช่น Norepinephrine, Serotonin เป็นต้น






ได้เร็ว เห็นผลชัดเจนและมีความปลอดภัยสูง เด็กที่เป็นโรค ADHD ร้อยละ 75-80 จะตอบสนอง
ต่อยาตัวนี้ ดังนั้นในที่นี้จะกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับยา methylphenidate






และกลางวัน ซึ่งอาจค่อยๆ เพิ่มขนาดยาได้อีก แต่ขนาดยาไม่ควรเกิน 60 mg ต่อวัน ถ้าปรับขนาด
ยาสูงสุดแล้ว ในช่วงเวลา 1 เดือน ยังไม่ให้ผลการรักษา ก็ควรจะเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่น

อาหาร 30-45 นาที


amphetamines ซึ่งกลไกการออกฤทธิ์ยังไม่ทราบแน่ชัด


แต่ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยายังคงอยู่ 4-6 hr ประมาณ 80 % ของขนาดยาที่ให้ จะถูก metabolize ไป
เป็น ritalinic acid และถูกขับถ่ายทางปัสสาวะ









อาหารมากขึ้น ซึ่งผลนี้จะเป็นต่อไปอีกหลายสัปดาห์ ถึงแม้ว่าจะหยุดยากลุ่ม MAOI แล้ว


วิตกกังวล, มีอาการสั่น (agitation) เนื่องจากยาอาจทำให้มีอาการแย่ลง
เอกสารอ้างอิง

มหาวิทยาลัยมหิดล.

มหาวิทยาลัยขอนแก่น





ขอบคุณบทความจาก http://www.gpo.or.th/rdi/html/adhd.html
No comments:
Post a Comment