Popular Posts

Wednesday, April 10, 2013

คัดจมูกมีวิธีการรักษาอย่างไร


คัดจมูกมีวิธีการรักษาอย่างไร
 
มันน่ารำคาญมากๆเลยนะครับตอนที่เราไม่สบายเเล้วคัดจมูกเนี่ย

         เมื่อเป็นหวัด จะมีเลือดมาเลี้ยงเยื่อบุผิวช่องจมูกมากขึ้นเพื่อนำเอา เม็ดเลือดขาวและ antibody มาต่อสู้กับการติดเชื้อ ทำให้เกิดอาการคัดจมูก นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการไข้ขึ้นด้วย ซึ่งจะทำให้ช่องจมูกมีสภาพไม่เหมาะสมต่อการเจริญของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย สิ่งคัดหลั่งของจมูกยังช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกไปได้ด้วย แต่ถ้าอาการคัดจมูกเกิดจากภาวะภูมิแพ้ สารภูมิแพ้จะทำให้ร่างกายหลั่งสารเคมีเช่น histamine ออกมา ซึ่งจะทำให้เกิดอาการคัดจมูก มีน้ำมูกไหล
 


        การประเมินอาการเป้าหมายของการประเมินอาการก็เพื่อให้ทราบว่าอาการคัดจมูกนั้นเกิดขึ้นจากการติดเชื้อหรือไม่ โดยสังเกตว่า ถ้ามีไข้ น้ำมูกมีสีเข้ม น้ำมูกข้น และอาการปวดบริเวณโพรงอากาศ (sinus) จะเป็นสิ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งควรได้รับการรักษาโดยแพทย์มีไข้หรือไม่ ?สะบัดปรอทวัดไข้ให้ปรอทลงไปต่ำสุด อมใต้ลิ้น 3 นาทีแล้ว อ่านผล ถ้ามีไข้ 38.9ขึ้นไปควรพบแพทย์น้ำมูกเป็นอย่างไร ?ถ้ามีน้ำมูกปนเลือด มีสีน้ำตาลปนเขียว ควรพบแพทย์ปวดบริเวณโพรงอากาศลองกดเบาๆ บนใบหน้า บริเวณโพรงอากาศซึ่งอยู่บริเวณรอบๆตา ถ้ารู้สึกปวดมาก ควรพบแพทย์
 


        การดูแลรักษาตนเองเพื่อบรรเทาอาการแม้ว่าอาการคัดจมูกจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อกระบวนการช่วยเหลือตนเองของร่างกาย แต่ก็ทำให้เกิดความอึดอัดไม่สบายด้วย เป้าหมายของการดูแลรักษาตนเองคือทำให้เรารู้สึกสบายขึ้น ในขณะที่ช่วยลดสิ่งคัดหลั่งและลดการอุดตันในจมูกควรป้องกันการกระจายของไวรัสโรคหวัด โดยการทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้วลงในถังผงที่มิดชิด และล้างมือบ่อยๆ

ควรปรึกษาแพทย์เมื่อ• มีไข้ 38.9 ขึ้นไป• น้ำมูกปนเลือดมีสีน้ำตาล หรือ เขียว• ปวดบริเวณหน้าผาก คางและฟันบน• มีอาการคัดจมูกนานเกินกว่า 3 สัปดาห์

สารอาหารก่อมะเร็ง

สารอาหารก่อมะเร็ง


โรคมะเร็งถึงแม้ว่าในปัจจุบันเราจะไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงก็ตาม แต่จากการค้นคว้าวิจัยและสถิติทางการแพทย์ เราพบว่าผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็ง ได้แก่
 
•ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีราสีเขียว – เหลืองขึ้น บ่อยๆ เช่น ถั่วลิสงคั่วป่นที่มีราขึ้น จะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
•ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ เต้านม ต่อมลูกหมาก และมดลูก
•ผู้ที่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ที่มีพยาธิใบไม้ตับปนอยู่ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของถุงน้ำดีในตับ
 

•ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารเค็มจัด ส่วนที่ไหม้เกรียมของอาหารปิ้ง – ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือดินประสิว จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร และลำไส้ใหญ่

•ผู้ที่สูบบุหรี่จัด จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด และกล่องเสียง
•ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ และถ้าทั้งดื่มสุรา และสูบบุหรี่ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปาก และช่องคอด้วย

•ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด บี จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ และถ้าได้รับสารพิษอัลฟาท้อกซินด้วย โอกาสเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

•ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่นเป็นโรคทางพันธุกรรม หรือติดเชื้อไวรัส HIV จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
•ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม รังไข่ และลำไส้ใหญ่ชนิดมีติ่งเนื้อ และผู้ที่ตากแดดจัดจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง
 ถึงแม้อาหารที่ถูกปรุงให้สุกด้วยการปิ้ง ย่าง และรมควันด้วยถ่าน จะมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน และรสชาติอร่อย แต่อาหารลักษณะนี้กลับแฝงภัยอันตรายที่น่ากลัว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อติดมันที่ปิ้งจนเกรียม รวมไปถึงเครื่องปรุงหรือส่วนผสมที่ใช้หมักเนื้อ  ซึ่งมีทั้งเกลือ น้ำตาล ซอส และผงชูรสที่ถูกเผาไหม้ไปพร้อมกับเนื้อด้วย ก็ล้วนแล้วแต่กลายเป็นสิ่งที่มีพิษต่อผู้รับประทานทั้งสิ้น

          ทั้งนี้จากการทดลองย่างเนื้อสเต็ก 1 กิโลกรัม ด้วยถ่านจนอาหารสุกเกรียมพบว่า จะเกิดมีสารเบ็นโซไพรีน (Benzopyrine) ในปริมาณที่มากเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง 6 มวน และที่สำคัญสารชนิดนี้เป็นสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายอย่างมากต่อตับอ่อน

โรคนิ่วมีวิธีการรักษา

โรคนิ่วมีวิธีการรักษา

นิ่ว คือก้อนหินเล็กๆ ซึ่งเกิดจากการจับตัวกัน ของผลึกซึ่งตกเป็นตะกอน ที่อยู่ในน้ำปัสสาวะที่เข้มข้น รวมตัวกันเป็นนิ่วเกิดขึ้นในไต ซึ่งนิ่วที่เกิดขึ้นนี้ อาจจะเคลื่อนหลุดออกมาที่ท่อไต และลงไปในกระเพาะปัสสาวะ นานวันขึ้นขนาดของนิ่ว ก็จะมีโอกาสที่จะโตมากขึ้น ถ้านิ่วที่อยู่ในไตนั้น ไม่เคลื่อนหลุดออกมา
อุบัติการณ์

                    โรคนิ่วสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่พบในเพศชาย มากกว่าเพศหญิงถึง 3 เท่า
                    เกิดได้กับทุกชนชาติทุกภาษา มักพบในประเทศเขตร้อน มากกว่าเขตหนาว พบในหน้าร้อนมากกว่าหน้าหนาว อาหารก็มีส่วนที่ทำให้เกิดโรคนิ่ว อาชีพที่ทำงานกลางแดด ทำงานอยู่หน้าเตาไฟมีโอกาสเป็นมากกว่า

สาเหตุขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
                    ความเข้มข้นของผลึกที่มีอยู่ในน้ำปัสสาวะ คือ ถ้ามีความเข้มข้นมาก ก็มีโอกาสที่นิ่วจะก่อตัวมากขึ้นนั้น หมายความว่าถ้าดื่มน้ำมาก จะทำให้ความเข้มข้น ของผลึกเหล่านั้นลดลงด้วย ความเป็นกรด-ด่าง ของน้ำปัสสาวะ สารระงับการตกตะกอนในน้ำปัสสาวะ

อาการ
                    นิ่วมักจะทำให้มีอาการปวดที่เอวและ / หรือท้องน้อย ขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่ว ตำแหน่งของการอุดตัน เช่น นิ่วที่อยู่ในท่อไตจะมีอาการปวด ได้มากกว่านิ่วที่อยู่ในไต อาการปวดนี้จะปวดตลอดเวลา หรือ ปวดเป็นๆ หายๆ ได้

การตรวจวินิจฉัย


                    การใช้เอ็กซเรย์ IVP เพื่อดูหน้าที่และต่ำแหน่งของนิ่วที่มีการอุดตัน

การรักษา
                    ขึ้นกับขนาดของนิ่ว ต่ำแหน่งของนิ่วและผลต่อการทำงานของไต นิ่วมีขนาดเล็กประมาณ 4 มิลลิเมตร มักจะสามารถหลุดออกไปได้เอง นิ่วที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีผลทำให้ไตทำงานได้ไม่ดี หรือนิ่วที่ไม่สามารถหลุดออกมาเองได้ มีแนวทางรักษาหลายอย่าง คือ

1. การสลายนิ่ว (ESWL)
          EXTRACORPOREAL SHOCKWAVE LITHOTRIPSY
                    โดยการใช้พลังงาน Shock wave ไปสู่ตัวนิ่วที่แข็ง ทำให้นิ่วที่แข็งเกิดการแตกตัว เป็นเศษนิ่วเล็กๆ และไหลหลุดออกมาเองทางท่อไต

2. การส่องกล้องในท่อไต (URETERORENOSCOPY)
                    โดยใช้กล้องส่องขนาดเล็กผ่านทางท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ และขึ้นไปในท่อไตจนถึงตำแหน่งของนิ่ว จากนั้นทำการคีบ หรือคล้องนิ่วออกมา ถ้านิ่วเม็ดค่อนข้างใหญ่ อาจต้องใช้เครื่องมือสลายนิ่วให้แตกก่อน แล้วคีบออกมา เหมาะสำหรับนิ่วในท่อไต

3. การเจาะไต
           (PERCUTANEOUS NEPHROLITHOTRIPSY)
                    โดยการใช้กล้องส่องเข้าไปในไตโดยตรง โดยการเจาะจากทางด้านหลัง ของลำตัวใกล้ตำแหน่งของไต เมื่อกล้องส่องในไตจนเห็นนิ่ว จะทำการสลายนิ่วจนเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วคีบออก เหมาะสำหรับนิ่วในไต ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่

4. การทำผ่าตัดเพื่อเอานิ่วออก
                    เป็นวิธีดั้งเดิมที่เคยใช้อยู่ในอดีต ก่อนที่จะมีเครื่องมือ และวิธีการดังกล่าวข้างต้น ซึ่งมีผู้ป่วยบางรายเท่านั้น ที่ยังจำเป็นต้องได้รับการรักษา ด้วยวิธีการผ่าตัดแบบนี้

การป้องกัน
                    วิธีที่ดีที่สุดและเป็นที่ยอมรับทั่วไป คือ การดื่มน้ำมากๆ เพื่อเป็นการเจือจาง และลดความเข้นข้นของผลึก ที่อาจจะตกตะกอนรวมตัวกัน เป็นก้อนิ่วได้ ในผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องนำนิ่วมาตรวจวิเคราะห์ หาส่วนประกอบของตัวนิ่ว เพื่อที่จะนำไปวิเคราะห์ร่วมกับเลือดและปัสสาวะ ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการป้องกัน การเกิดโรคนิ่วใหม่ในนิ่วบางชนิด

ไขมันมีผลดีต่อร่างกายอย่างไร

ไขมันมีผลดีต่อร่างกายอย่างไร


       สารอาหารกลุ่มแรกที่ควรรู้จัก เนื่องจากแทบจะเป็นกลุ่มเดียว ที่อาจสร้างปัญหาให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายนั่นก็คือ "ไขมัน" การรับประทานไขมันมากเกินไป ดูเหมือนจะมีผลทำให้ภูมิต้านทานของร่างกาย ลดลงได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ ที่เป็นเช่นนี้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชื่อว่า เป็นเพราะไขมันที่มีมากเกินไปเหล่านี้จะเข้าไปกดการทำงานของเซลล์พิฆาต ที่กล่าวถึงในตอนต้น



         นักระบาดวิทยาชื่อ ดร.เจมส์ อาร์ เฮลเบิร์ต (James R. Hebert) แห่งวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยแมสสาชูเสตต์ ทำการศึกษาในอาสาสมัคร ได้ผลว่า เมื่อทดลองให้อาสาสมัครลดไขมันในอาหารลงจากเดิมได้พลังงาน จากไขมันร้อยละ 32 ลดให้เหลือเพียงร้อยละ 28 ปรากฏว่าการทำงานของเซลล์พิฆาต เพิ่มขึ้นได้ถึงร้อยละ 48

        ขณะเดียวกัน ชนิดของไขมันก็ยิ่งมีความสำคัญ กรดไขมันชนิดโอเมกาสาม ที่พบมากในปลาทะเล ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานได้ส่วนหนึ่ง ใครที่ชอบรับประทานปลาทะเลบ่อยๆ จึงมีภูมิต้านทานค่อนข้างดี กรดไขมันที่สร้างปัญหาต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกาย กลับกลายเป็นกรดไขมันประเภทโอเมก้าหก หรือกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ที่พบมากในน้ำมันพืชนั่นเอง

         นักวิทยาศาสตร์พบว่า กรดไขมันโอเมก้าหกที่มีระดับสูงมากๆ ดังที่พบในน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด หรือแม้กระทั่งน้ำมันถั่วเหลือง จะลดภูมิต้านทานโดยการกดการสร้างเซลล์ลิมโฟซัยต์ ทำให้ระบบภูมิต้านทานเกิดปัญหา

       นอกจากนี้ กรดไขมันเหล่านี้ยังเกิดปฏิกิริยาสร้างอนุมูลอิสระได้ง่าย ก่อปัญหารบกวนการทำงานของระบบเซลล์ภูมิต้านทาน ทั้งยังเร่งการสร้างเซลล์มะเร็ง เหตุนี้นี่เองที่กล่าวกันว่าน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง หากรับประทานมากเกินไป ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง สร้างปัญหาต่อสุขภาพได้ ลดการรับประทานลงบ้าง อย่าให้มากเกินไปก็จะดี

สุราส่งผลต่อร่างกายอย่างไร

สุราส่งผลต่อร่างกายอย่างไร


 “สุรา” สิ่งบันเทิงใจของนักดื่มทั้งหลายในทุกเทศกาลงานเลี้ยงต่างๆ สุราและเครื่องดื่ม ผสมแอลกอฮอล์แต่ละชนิด เป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมความเข้มข้นของแอลกอ ฮอล์แตกต่างกัน เช่น เหล้ามีแอลกอฮอล์ 40% ไวน์มีแอลกอฮอล์ 12% และเบียร์มีแอลกอฮอล์ 5%
 

โดยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะกดประสาท ทำให้สมองทำงานช้าลง พูดจาอ้อแอ้ เดินไม่ตรง ทาง ความคิดสับสน และเป็นหนึ่งสาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุ เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และในภาคเศรษฐกิจ แม้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างก็พยายามออกมารณรงค์ ลด ละ เลิก แต่สถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในเทศกาลต่างๆ ก็ยังอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง
 
 นายแพทย์ชาย มหิทธิภาคย์ แพทย์ประจำศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลเวชธานีให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า สุราหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หากดื่มในปริมาณที่มากเกินไป และติดต่อกันเป็นเวลานานย่อมมีผลเสียต่อสุขภาพ
นอกจากจะทำให้ผู้ดื่มขาดสติ แล้วยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ มากมาย ได้แก่ กลุ่มโรคทางระบบประสาท ทำให้ความจำเสื่อม หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย เสียการควบคุมด้านอารมณ์ โรคนอนไม่หลับ กระบวนการการรับรู้ ความ เข้าใจบกพร่อง ขาดสติ จิตหลอน ประสาทหลอน โรคคลั่งเพ้อ เกิดจากโรคพิษสุราเรื้อรัง การทำหน้าที่ของสมองผิดปกติส่งผลถึงการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย อาจทำให้กล้ามเนื้อส่วนปลายแขน ขา อ่อนแรง ปลายประสาทพิการ โรคซึมเศร้า โรค ลมชัก และโรคระแวงเพราะสุรา
กลุ่มโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งในปากและช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านมในผู้หญิง และมะเร็งรังไข่ กลุ่มโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน โรคเบาหวาน (เกิดจากตับอ่อนอักเสบ) โรคตับอักเสบ โรคตับแข็งจาก สุรา โรคตับอ่อนอักเสบแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง
โรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือโรคกระเพาะอักเสบจากสุรา เพราะแอลกอฮอล์จะทำลายสารเคลือบกระเพาะ ทำให้เกิดแผลจนกระเพาะทะลุ หรือเลือดออกในกระเพาะ สังเกตได้จากการถ่ายอุจจาระ หรืออาเจียนเป็นเลือด โรคต่อมหมวกไต กระดูกพรุน โรคเกาต์ โรคพิษสุราเรื้อรัง
กลุ่มโรคหลอดเลือดและหัวใจ คนที่ดื่มสุราเป็นประจำมีโอกาสเกิดโรคหัวใจได้มากกว่าคนที่ดื่มน้อยกว่า เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบ และยังอาจทำให้เกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อหรือเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจหรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมจากสุรา โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สมอง ส่วนนอกลีบฝ่อ อาการระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกิน โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจล้มเหลว
ผลกระทบต่อลูกน้อยสำหรับนักดื่มที่กำลังตั้งครรภ์ ส่งผลให้ทารกมีน้ำหนักตัวแรกคลอดน้อย ปากแหว่งเพดานโหว่ ดวงตาและกรามมีขนาดเล็ก สมองเล็กกว่าปกติ หัวใจผิดปกติแต่กำเนิด แขนขาเจริญเติบโตผิดปกติ ความสามารถในการมองเห็น น้อยกว่าทารกปกติ ร้องกวนโยเยง่าย รูปร่างแคระแกรน นอนหลับยาก และมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าปกติ
หลายคนยังสงสัยว่า ดื่มมากขนาดไหนที่เรียกว่า “ติดสุรา” อาจแบ่งให้เห็นชัดเจนได้ 3 ระดับ คือ ระดับแรก ดื่มเฉพาะตอนที่เข้าสังคม ระดับที่สอง ดื่มเป็นระยะ และกลุ่มที่สาม ดื่มจนติด หรือที่เรียกว่า แอลกอฮอล์ – ลิซึ่ม คนที่ดื่มจนติดแล้ว มักจะดื่มเป็นประจำทุกวัน และเพิ่มปริมาณในการดื่มมากขึ้น ถ้าหยุดดื่มจะมีอาการ เช่น ใจสั่น มือสั่น คล้ายจะเป็นลม
 สำหรับคนที่ดื่มจนติดแล้วต้องการเลิกเหล้า ขอแนะนำว่าไม่ควรเลิกแบบทันทีทันใด แต่ควรลดปริมาณการดื่มลงทีละน้อย หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าได้ ควรรับประทานอาหารให้อิ่มท้อง พยายามอย่าให้ท้องว่าง ขณะเดียวกันควรหันไปดื่มน้ำผลไม้แทน และพยายามทำกิจกรรมต่างๆ หรือเล่นกีฬา ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง กรณีที่มีอาการติดเหล้ารุนแรงควรมาพบแพทย์เพื่อทำการบำบัดรักษา และรับการตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี
ผลของการดื่มสุรา
๑. ทำลายสุขภาพ
สุราสามารถทำให้เกิดโรคต่างๆมากมายประมาณ ๕๐ % ของผู้ดื่มมักจะประสบกับโรคสมองฝ่อในที่สุด
ช่องปากและลำคอ เกิดระคายเคืองในช่องปากและลำคอที่นักดื่มเรียกว่า เหล้าบาดคอ
ผิวหนังและหลอดเลือด
ฤทธิ์ของแอลกอฮฮล์
ที่ส่งผลให้เห็นอย่างชัดเจนเริ่มได้ตั้งแต่ผวหนังหลอดเลือดที่ขยายตัวจากฤทธิ์แอลกอฮฮล์ ส่งผลให้หน้าแดง
ตัวแดง
ในทางตรงกันข้ามผู้ดื่มบางรายอาจจะมีอาการเส้นโลหิตหดตัวทำให้หน้าซีดซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตมากกว่า
เซลล์
เมื่อมีการหมุนเวียนของเลือดเร็วขึ้นไปยังเซลล์ต่างๆ
ทั่วร่างกายเซลล์ทุกเซลล์จะทำงานไวขึ้นกว่าปกติเกิดความจำเป็นใน ช่วงระยะสั้นๆ
ทำให้การทำงานของอวัยวะแปรปรวนจากปกติ ในเวลาต่อมาและกดการทำงานของเซลล์ให้ทำงานน้อยลง
และทำลายเซลล์ไปในที่สุด
สมอง
แอลกอฮฮล์ มีพิษโดยตรงต่อสมองของคนเรา ทำให้เซลล์ขยายตัวมากขึ้นเกิดอาการที่เรียกว่า สมองบวม
นานเข้าจะเกิดการสูญเสียชองเหลวในเซลล์สมอง เซลล์สมองลีบเหี่ยว เสื่อมและตายลง
จากการชันสูตรศพผู้เยชีวิตจาก สุรา จะพบว่าเนื้อสมองลีบเหี่ยว มีสีซีดจางจาก การถูกทำงายโดยแอลกอฮฮล์
อย่างชัดเจน
 
 
หัวใจ
หัวใจจะถูกกระตุ้นให้ฉีดสูบโลหิตเร็วขึเนทำงานหนักมากขึ้นในระยะยาวจะทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อแปรปรวนส
ารที่มีหน้าที่สำคัญในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจลดต่ำลงทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้นกล้ามเนื้อหัวใจ
จะเริ่มหนาขึ้น เกิดโรคหัวใจโตมีอาการหัวใจวายหรือหัวใจล่มเหลวตามมาในที่สุด
กระเพาะอาหาร
โรคที่พบได้บ่อยในหมู่นักดื่มคือโรคกระเพาะอาหาร แอลกอฮฮล์ ในระดับความเข้มข้นต่ำเพียงร้อยละ ๑๐
จะทำให้มีการ กระตุ้นน้ำย่อยในกระเพราะอาหาร ส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะและลำไส้ ปกติแอลกอฮฮล์
ในความเข้มข้นสูงจะทำให้เกิดอาการเยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบและเฉียบพลัน
เมื่อดื่มจัดติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาเจียนออกมาเป็นสีดำ อุจจาระดำ
อาการน่ากลัวที่เกิดขึ้นได้ในผู้ดื่มบางราย ก็คืออาการฉีกขาดของเยื่อหลอดอาหาร อันเกิดจากการอาเจียน
หรือขย้อนอย่างรุนแรง ผู้ป่วยอาเจียนมีเลือดปนออกมาบ่อยๆ อาจเสียเลือดมาก
ต้องทำการรักษาโดยผ่าตัดเย็บรอยฉีกขาดของเยื่อบุดังกล่าว……
ตับ
เนื่องจากตับเป็นแหล่งสันดาปที่สำคัฐของแอลกอฮฮล์ ตับจึงเป็นอวัยวะที่ได้รับพิษจากเหล้ามากที่สุด
เซลล์ตับที่ถูกทำลายจะมีไขมันเข้าไปแทนที่
ทำให้เกิดการคั้งของไขมันในตับซึ่งเป็นสาเหตุแรกๆของอาการตับอักเสบ
ส่งผลให้เซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้นเมื่อเซลล์ของตับตายไประดับหนึ่ง
จนมีการสร้างผังเผือดขึ้นที่บริเวณนั้นในลักษณะคล้ายแผลเป็นทำให้เนื้อตับที่เคยอ่อนนุ่ม
แข็งตัวขึนจนเกิดอาการที่เรียกว่า ตับแข็งในที่สุด ตับเปรียบเสมือนโรงงานสร้างพลังงาน ให้แก่ร่างกาย
สร้างสารเคมีจำเป็น เช่น น้ำดี วิตามิน สารที่ทำให้เลือดแข็งตัวทั้งยังช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย
การสูญเสียเซลล์ตับทุกเซลล์เป็นการสูญเสียเซลล์ที่ถาวรและไม่มีการสร้างขึนมาทดแทน ความรุนแรงของ
โรคตับแข็ง จึงเกิดขึ้นกับปริมาณของ เนื้อตับที่สูญเสียไป ยิ่งเนื้อตับถูกทำลายมากเท่าไร
โอกาสที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิตก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
๒. การดื่มสุรามีผลดังนี้บทต่อ
สามารถทำให้ทารกมีความผิดปกติเจริญเติบโตช้ามากมีภาวะปัญญาอ่อนได้ถ้ามารดาดื่มเครื่องประเภทมีแอลกอฮฮล์
๓. ทำให้เกิดปัญหาในครอบครัวขาด ความรัก ความอบอุ่น มีการทะเลาะวิวาทกัน
๔. ทำให้เสียทรัพย์สินเงินทอง
๕. ทำให้เสียบุคลิกภาพ ตัดสินใจไม่ดี บั่นทอนความก้าวหน้า
๖. ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เพราะเมาแล้วขับ หรือขับรถในขณะมึนเมาสุรา

อาการไอมีวิธีการรักษาอย่างไร

อาการไอมีวิธีการรักษาอย่างไร

เเถวบ้านผมเรียกอาการไอเเบบนี้ว่านันสตอป อย่าได้เริ่มนะไม่หยุดเลย

ไอมากนัก จะทำอย่างไรดี (หมอชาวบ้าน)



โดย : เภสัชกรธานี  เมฆะสุวรรณดิษฐ์

          เคยสังเกตกันบ้างไหมครับว่า เวลาที่ตัวคุณเองหรือคนข้างเคียงไม่สบาย เช่น เป็นไข้หวัด เจ็บคอ อาการและเสียงเสียงหนึ่งซึ่งมักจะได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ควบคู่ไปกับอาการไม่สบาย จนบางครั้งทำให้ตัวเราเองหรือคนรอบข้างรู้สึกรำคาญก็คือ เสียงไอแค็ก ๆ บางคนไอมากถึงขนาดถุงลมในปอดแตก บางคนไอจนหน้ามืดเป็นลมไปก็มี เมื่อรู้ว่าอาการไอบางครั้งรุนแรงถึงขนาดนี้แล้ว เรามาทำความเข้าใจกันดีกว่าว่า อาการไอเกิดขึ้นได้อย่างไร สาเหตุ โทษ และประโยชน์ของการไอ ตลอดจนยาที่ใช้ระงับไอ มีอะไร
บ้าง



  อาการไอ เกิดขึ้นได้อย่างไร

          อาการไอเป็นกลไกที่สำคัญอันหนึ่งของร่างกายเรา ในการที่จะกำจัดเสมหะและสิ่งแปลกปลอมให้ออกไปจากทางเดินหายใจ คนไข้บางคนอาจมีอาการไอเรื้อรังจนรู้สึกชิน เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่จัดแล้วเกิดอาการไอเวลาตื่นนอนตอนเช้า ซึ่งคนปกติโดยทั่วไปแล้วจะไม่ไอ ถึงแม้จะมีเสมหะหรือสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ ทำไม? ก็เนื่องจากร่างกายของเราจะมีขนเล็ก ๆ ซึ่งจะอยู่ในเยื่อบุทางเดินหายใจ คอยปัดเอาเสมหะหรือสิ่งแปลกปลอมให้ขึ้นไปอยู่ในคอ แล้วถูกกลืนเข้าไปในทางเดินอาหารในที่สุด

          อาการไอจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกระตุ้นปลายประสาท หรือตัวรับที่เกี่ยวกับอาการไอ เช่น หลอดลม กะบังลม เยื่อหุ้มปอด คอหอย ช่องหูส่วนบน เป็นต้น เมื่อปลายประสาทเหล่านี้ถูกกระตุ้นก็จะส่งสัญญาณไปยังศูนย์ควบคุมอาการไอบริเวณสมอง เมื่อศูนย์ไอถูกกระตุ้น ก็จะส่งสัญญาณประสาทไปยังกล่องเสียงและกล้ามเนื้อบริเวณทรวงอก และหน้าท้องที่เกี่ยวข้องกับการหายใจทำให้เกิดอาการไอ

 อะไรเป็นสาเหตุของการไอ

          การไอจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีสิ่งกระตุ้น  ซึ่งสิ่งกระตุ้นเหล่านี้แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

           1. สิ่งกระตุ้นโดยตรง เช่น ฝุ่นละอองและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในทางเดินหายใจ รวมทั้งเนื้องอกด้วย

           2. สิ่งกระตุ้นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ  เช่น อาการที่หนาวเกินไป หรือร้อนเกินไป ก็ทำให้เกิดอาการไอได้

           3. สิ่งกระตุ้นที่เป็นการอักเสบ เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น เป็นไข้หวัด ปอดบวม ฝีในปอด เป็นต้น

           4. สิ่งกระตุ้นที่เป็นสารเคมี เช่น ก๊าซ ควันบุหรี่ ท่อไอเสีย เป็นต้น

          เมื่อมีสิ่งกระตุ้นดังกล่าวก็จะทำให้เกิดอาการไอออกมา ซึ่งมีทั้งไอแบบแห้ง ๆ  และไอแบบมีเสมหะ เนื่องจากมีการสร้างเสมหะเพิ่มขึ้นหรือเสมหะเหนียวข้นขึ้นและขนเล็ก ๆ ทำงานไม่ดีพอที่จะพัดโบกเอาเสมหะเหล่านั้นให้หลุดไปได้

 ในเสมหะมีอะไรอยู่บ้าง

          เสมหะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ

            1. น้ำ ทำให้เสมหะใสอ่อนตัว

            2. น้ำเมือก (mucus) ทำให้เสมหะเหนียว

            3. ซากเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้เสมหะข้น

 ไอมีประโยชน์และโทษหรือไม่...อย่างไร

          อาการไอมีทั้งประโยชน์และโทษควบคู่กันไป ในส่วนที่เป็นประโยชน์ก็คือ อาการไอจะช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอม ซึ่งระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ กำจัดเสมหะ และใช้เป็นสัญญาณในการเตือนตัวผู้ป่วยเอง และบอกให้แพทย์ทราบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจ

 แต่ถ้าไอมาก ๆ ล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นแน่นอนย่อมก่อให้เกิดโทษได้หลายอย่าง เช่น

           อาจทำให้หน้ามืดเป็นลม

           ไอรุนแรงจนถุงลมในปอดแตก

           ไอจนเหนื่อยหอบรบกวนการนอนหลับ

           ไอจนซี่โครงหัก กล้ามเนื้อท้องระบม ไอจนทำงานไม่ได้

 อาการไอรักษาได้อย่างไร

           1. รักษาที่สาเหตุ โดยการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการไอ เช่น ควันรถ ควันบุหรี่ เป็นต้น

           2. รักษาอาการไอโดยใช้ยา ซึ่งพอจะแบ่งได้เป็น

               ยารักษาสาเหตุทำให้เกิดอาการไอ เช่น ไอจากหอบหืด ก็กินยารักษาหรือป้องกันหอบหืด ไอจากการติดเชื้อในทางเดินหายใจ ก็กินยาปฏิชีวนะ เป็นต้น

               ยาที่ออกฤทธิ์ระงับไอ ซึ่งแบ่งตามการออกฤทธิ์ของยาได้ดังนี้

               ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยยาจะกดศูนย์การไอโดยตรงมีด้วยกันหลายชนิด แต่ที่นิยมใช้ได้แก่ โคเคอีน (codeine) และเด็กซ์โทรเมทอร์แฟน (dextrometorphan)

               ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนปลาย  โดยยาจะไปลดการระคายเคืองของปลายประสาทเหล่านี้ เช่น ยาอม น้ำผึ้ง ยาน้ำเชื่อมแก้ไอ เป็นต้น

               ยาที่ออกฤทธิ์ช่วยให้การไอเป็นไปได้ง่ายขึ้น เช่น ยาขับเสมหะและยาละลายเสมหะ เป็นต้น

          การที่จะเลือกใช้ยากลุ่มใดชนิดไหนนั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการไอ และความรุนแรงว่ามากน้อยแค่ไหน การสั่งจ่ายยาควรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ และถ้ามีปัญหาของการใช้ยาดังกล่าว ก็ปรึกษาเภสัชกรใกล้บ้านท่าน แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ในผู้ป่วยที่มีอาการไอโดยเฉพาะไอจากมีเสมหะ เพราะน้ำจัดได้ว่าเป็นยาขับเสมหะ และยาละลายเสมหะที่ดีที่สุดตัวหนึ่ง ที่สำคัญก็คือ หาได้ง่าย ราคาไม่แพงอีกด้วย

ที่มาหมอชาวบ้าน

ตาบอดสีมีอาการอย่างไร

ตาบอดสีมีอาการอย่างไร

         ตาบอดสี หรือที่เรียกว่า colour blindness เป็นอาการที่ตาของผู้ป่วยแปรผลแปรภาพสีผิดไป จากผู้อื่นที่เป็นตาปกติ ตาเป็นอวัยวะจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขในสังคม หากเกิดความ ผิดปกติไม่ว่า จะเป็นเรื่องใดที่มีผลกระทบต่อการมองเห็น บุคคลนั้นๆ ย่อมได้รับผลกระทบไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง ภาวะตาบอดสีเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในสังคมมากพอสมควร



           ปกติแล้วตาคนเราจะมีเซลรับแสงอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นเซลรับแสงที่รับรู้ถึงความมืด หรือ สว่าง ไม่สามารถแยกสีออกได้และจะมีความไวต่อการกระตุ้นแม้ในที่ที่มีแสงเพียงเล็กน้อย เช่น เวลากลางคืน เซลกลุ่มที่สองเป็นเซลล์ทำหน้าที่มองเห็นสีต่าง ๆ โดยจะแยกได้เป็นเซล อีก 3 ชนิด






ตามระดับคลื่นแสง หรือสี ที่กระตุ้น คือ เซลล์รับแสงสีแดง เซลล์รับแสงสีน้ำเงิน และเซลรับแสงสีเขียวสำหรับแสงสีอื่น จะกระตุ้นเซลดังกล่าวมากกว่าหนึ่งชนิดแล้วให้สมองเราแปลภาพออก มาเป็นสีที่ต้องการ เช่น สีม่วงเกิด จากแสงที่กระตุ้นทั้งเซลรับแสงสีแดงและเซลรับแสงสีน้ำเงินในระ ดับที่พอ ๆ กัน ซึ่งเซลกลุ่มที่สองนี้จะ ทำงานได้ดีต้องมีแสงสว่างเพียงพอ ดังนั้นในที่สลัว ๆ เราจึงไม่สามารถแยกสีของวัตถุได้ แต่ยังพอบอก รูปร่างได้ เนื่องจากมีการทำงานในเซลของกลุ่มแรกอยู่ เมื่อเพิ่มแสงสว่างขึ้นเราจึงมองเห็นสีต่าง ๆ ขึ้นมา



ประเภทของตาบอดสี

     โรคตาบอดสี พบได้ประมาณ 8% ของประชากร แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

           กลุ่มที่เป็นตั้งแต่ กำเนิด (congenital color vision defects) กลุ่มที่มีความผิดปกติมาตั้งแต่ กำเนิดตาทั้ง 2 ข้างจะมีอาการมองเห็นสีผิดปกติเหมือนกันคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ที่สามารถเห็นสีได้ ปกติจะต้องมีเซลล์รับแสงสีที่จอประสาทตาครบทั้ง 3 สี คือ แดง เขียว และน้ำเงิน และมีปริมาณ เม็ดสีในเซลล์ที่ปกติ รวมทั้งระบบประสาทตาและการแปลผลที่เป็นปกติด้วย ส่วนความผิดปกติของ เม็ดสี และเซลล์รับแสงสีน้ำเงินนั้น ถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม 7 จึงมีการถ่ายทอดแบบ autosomal dominant ซึ่งจะพบผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้น้อย

           กลุ่มที่เป็นภายหลัง (acquired color vision defects) มักเกิดจากโรคทางจอประสาทตาหรือ โรคของเส้นประสาทตาอักเสบ มักจะเสียสีแดงมากกว่าสีอื่น และอาจเสียเพียงเล็กน้อย คือดูสีที่ควร จะเป็นนั้นดูมืดกว่าปกติ หรืออาจจะแยกสีนั้นไม่ได้เลยก็ได้

      ซึ่งมักพบ กลุ่มแรก คือกลุ่มที่เป็นตั้งแต่กำเนิดบ่อยกว่ากลุ่มที่เป็นภายหลังเมื่อพิจารณาในกลุ่ม ที่ เป็นตั้งแต่เกิด กลุ่มย่อยที่พบได้บ่อยที่สุด คือ กลุ่มที่บอดสีเขียว-แดง ซึ่งพบได้ประมาณ 5-8% ใน ผู้ชาย และพบเพียง 0.5% ในผู้หญิง (ผู้ชายพบได้บ่อยกว่าเยอะนะครับ) ส่วนในกลุ่มที่เป็นภายหลัง มักพบเป็นการบอด สีน้ำเงิน - เหลือง และพบได้พอๆกันทั้งชายและหญิง ซึ่งจำนวนคนที่เป็น ในกลุ่มนี้น้อยกว่ากลุ่มที่เป็นแต่กำเนิดมาก




 สาเหตุการเกิดตาบอดสี

      ตาบอดสี (Clor blindness)เกิดขึ้นจากเซลล์ประสาทชนิดหนึ่ง ในม่านตาซึ่งมีความไวต่อสีต่าง ๆ มีความบกพร่องหรือพิการ ทำให้ดวงตาไม่สามารถที่จะมองเห็นสีบางสีได้ ตาบอดสี มีหลายชนิด ชนิดที่ทุกคนรู้จักโดยทั่วไปได้แก่ ตาบอดสีที่มองสีเขียว กับสีแดงไม่เห็น (Red – Green blindness) ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถแยกสีแดงกับสีเขียวจากสีอื่น ๆ ได้ ดังนั้นคนตาบอดสีชนิดนจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในโลกเป็นสีน้ำเงิน สีเหลือง สีขาว สีดำ สีเทา และส่วนผสมของสีเหล่านั้นทั้งหมด



ภาพแสดงถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยโครโมโซม

      การพบโรคนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมักเป็นกับแบบ แดง-เขียวแทบทั้งหมด เนื่องจากว่ายีน ที่ควบคุมการสร้างรงควัตถุรับสีชนิดสีแดง และสีเขียวนั้น (red-pigment gene, green-pigment gene) อยู่บนโครโมโซม X เมื่อยีนนี้ขาดตกบกพร่องไปในคนใดคนหนึ่ง ก็จะทำให้คนนั้นสามารถรับรู้ สีเหล่านั้นได้ลดลงกว่าคนปกติแน่นอนว่าผู้หญิงมีโอกาสเป็นน้อยกว่าเนื่องจากในผู้หญิงมีโครโมโซม X ถึงสองตัว ถ้าเพียงแต่ X ตัวใดตัวหนึ่งมียีนเหล่านี้อยู่ ก็สามารถรับรู้สีได้แล้ว ในขณะที่ผู้ชาย มีโครโมโซม X เพียงตัวเดียว อีกตัวเป็น Y ซึ่งไม่ได้มีแพคเกจบรรจุยีนนี้แถมมาด้วย ;) ก็จะแสดง อาการได้เมื่อ X ตัวเดียวเท่าที่มีอยู่นั้นบกพร่องไป

     ตาบอดสีมีหลายชนิด ชนิดที่พบบ่อยที่สุด เรียกว่า red/green colour blindness โดยจะแยก สีแดงและสีเขียวค่อนข้างลำบากโดยเฉพาะเวลาที่แสงไม่สว่างนัก ส่วนน้อยลงมาของคนที่มีตาบอด สีคือพวกที่ไม่สามารถแยกสีน้ำเงินกับสีเหลือง จะมีบ้างเหมือนกันที่เป็นโรคตาบอดสีทุกสีเลยแต่ เป็น ส่วนน้อยมาก คนที่บอดสี แดง-เขียวมักจะบอดสี น้ำเงิน-เหลืองด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นตาบอดสี ชนิดใด ล้วนจะมีสายตาหรือการมองเห็น (vision) ที่เป็นปกติ เพียงแต่ความสามารถในการแยกสี ไม่ปกติเท่านั้นเอง
     กลุ่มที่มีความผิดปกติที่เกิดขึ้นมาภายหลัง มักเกิดจากการถูกทำลายของจอประสาทตาเส้นประ สาทตา หรือส่วนรับรู้ในสมอง จากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การอักเสบ ภาวะขาดเลือด อุบัติเหตุเนื้อ งอก การเสื่อมลงของจอประสาทตา หรือผลข้างเคียงจากยาหรือสารเคมี

     ป่วยมักจะมีอาการเรียกชื่อสีหรือเห็นสีผิดไปจากเดิม โดยมากพบความผิดปกติของการมอง สี น้ำเงินเหลือง มากกว่าแดงเขียว ความผิดปกติของตาทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน อาจเป็นตาเดียวหรือทั้ง 2 ตา มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นหรือลดลงได้ รวมทั้งมีความผิดปกติของสายตาด้านอื่น ๆ เช่น การมอง เห็นและลานสายตาลดลงได้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค

 การรักษาเมื่อตาบอดสี

      ในรายที่เป็นไม่รุนแรง ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแต่อย่างใด ส่วนในรายที่เป็นรุน แรงผู้ปกครองอาจจะสังเกตพบตอนเป็นเด็กอย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีการรัก ษา เฉพาะถ้าเป็นแล้ว จะเป็นตลอดชีวิต โดยเฉพาะแบบที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด ยังไม่พบวิธีรักษาที่ได้ผล
      ส่วนประเภทที่เกิดจากโรคต่าง ๆ ที่มีผลต่อจอประสาทและเส้นประสาทตา เมื่อเกิดอาการมองเห็นสีผิดปกติไป ให้รีบมารับการตรวจรักษาอาจป้องกันไม่ให้ เกิดความผิดปกติถาวรได้

 คำแนะนำบางประการ

           ในผู้ป่วยที่มีภาวะตาบอดสีแต่กำเนิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำถึงโอกาสการถ่ายทอด ทางพันธุกรรม และโอกาสหลีกเลี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะตาบอดสีในหมู่ญาติ
           ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีภายหลัง ควรรับการตรวจวินิจฉัยถึงสาเหตุเพื่อ แพทย์จะได้วางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

           การที่คนใดคนหนึ่งเกิดตาบอดสีขึ้นคน ๆ นี้ก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ อย่างปกติเหมือนคนปกติทั่ว ๆ ไปได้เพียงแต่การแปรผลผิดไป จากความจริง เท่านั้น ถ้าตาบอดสีไม่มากนักสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้แว่นตา ทั้งนี้ควร ปรึก ษาจักษุแพทย์ ซึ่งจะตรวจเช็คสายตาและให้คำแนะนำในการปรับตัว ตลอดจน แนวทางในการ รักษาต่อไป

           บางครั้งคนตาบอดสี อาจถูกกีดกันจากสถาบัน หรืออาชีพบางประเภทซึ่งจริง ๆ แล้วคนที่ตาบอดสี เพียงแต่เห็นสีผิดไปจากสีที่เป็นจริง ไม่ใช่มองไม่เห็นสีเลย

           คนที่ตาบอดสีส่วนใหญ่เรียกสีถูกบอกความแตกต่างของไฟจราจรได้ และก็ ทำงานส่วนใหญ่ได้เหมือนคนปกติ เว้นเสียแต่จะมีสีในบางแถบสีที่ทำให้ เขาสับสน

           ในแบบทดสอบอาจจะมีการออกแบบสีในช่วงของแถบสีที่ทำให้คน ตาบอดสีดูสับสน ซึ่งโดยปกติในชีวิตประจำวันคนตาบอดสีจะพบสีดังกล่าว น้อยมาก

           อาชีพที่คนตาบอดสีไม่ควรทำ ได้แก่ นักเคมีที่ต้องทำงานกับสี จิตรกร อาชีพที่ต้องมีการใช้สีเป็น ตัวแสดงถึงสิ่งต่าง ๆ เช่น ในอุปกรณ์อิเลคโทรนิค ห้องนักบิน เป็นต้น

           พบว่าคนตาบอดสีมีความสามารถในการแยกสีเฉดเดียวกันที่มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ได้ดีกว่าคนปกติ เช่น คนตาบอดสีเขียวจะแยกสีที่คล้ายกัน เช่น เขียวอ่อนเขียวอมเหลือง




          ปัจจุบัน ผู้ที่เป็นโรคตาบอดสีอนุโลมให้ขับรถได้ แต่ต้องผ่านการทดสอบความสามารถในการบอกสี ของสัญญาณไฟจราจรได้ถูกต้อง เพราะผู้เป็นโรคตาบอดสีจะทราบว่า ตนเองบอดสีอะไรหรือต้องสามารถแยกได้ว่าตำแหน่งใด เป็นสัญญาณ ไฟสีแดง สีเหลือง หรือสีเขียว หากแยกสีเหล่านี้ได้ถูกต้องก็สามารถ ปฏิบัติตามกฎจราจรได้ หากผู้ป่วยเป็นมากโดยบอดสีเหล่านี้ทั้งหมด และไม่สามารถแยกสีได้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถเพราะจะทำให้เกิด อันตรายได้
          ปัจจุบันนี้ยังมีความเข้าใจผิดในเรื่องตาบอดสีทำให้คนตาบอด สีถูกห้ามไม่ให้ขับรถ หรือทำงานในบางหน่วยงานหรือเรียนหนังสือ ซึ่ง ในความเป็นจริงแล้ว คนที่ตาบอดสีเพียงแต่เห็นสีผิดไปจากสีที่เป็น จริงไม่ใช่มองไม่เห็นสีเลยเราพบว่าคนที่ ตาบอดสีส่วนใหญ่เรียกสีถูก บอกความแตกต่าง ของไฟจราจรได้และก็ทำงานส่วน ใหญ่ได้เหมือนคน ปกติเว้นเสียแต่จะมีสีใน บางแถบสีที่ทำให้เขาสับสนในแบบทดสอบ จะมีการออกแบบสีในช่วงของแถบสีที่ทำ ให้คนตาบอดสีดูสับสนซึ่งโดยโดยปกติในชีวิตประจำวัน คนตาบอดสีจะพบสี ดังกล่าวน้อยมากใน หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา ก็เคยมีปัญหา ในลักษณะดังกล่าว ซึ่งหลังจากมีการรณรงค์โดยจักษุแพทย์กลุ่มหนึ่งมหาวิทยา ลัยต่าง ๆ จึงยอมรับเด็กเหล่านี้เข้า เรียนได้



          อย่างไรก็ตาม มีอาชีพที่คนตาบอดสีไม่ควรทำได้แก่ อาชีพที่ต้องใช้ความสามารถในการแยกแยะสี เป็นสำคัญ เช่น นักเคมีที่ต้องทำงานกับสี, จิตรกร, พนักงานตรวจคุณภาพสินค้า (QC), ฯลฯ นอกจากนี้ อาชีพที่ไม่ควรรับคนตาบอดสีทำงานก็คือ อาชีพที่ต้องมีการใช้สีเป็นตัวแสดงถึงสิ่งต่าง ๆ เช่น ในอุปกรณ์ อิเลคโทรนิค, นักบิน, นักเดินเรือ เป็นต้น

          นอกจากนี้พบว่า ตาบอดสีไม่ใช่จะมีแต่ข้อเสียเท่านั้น เราพบว่าคนตาบอดสีสับสนในเรื่องของสี แต่มีความสามารถในการแยกสีเฉดเดียวกันที่มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยได้ ดีกว่าคนปกติ เช่น คนตา บอดสีเขียวจะแยกสีที่คล้ายกัน เช่น เขียวอ่อน เขียวอมเหลืองได้ดี  ในบางประเทศ เช่น อิสราเอลมีการรับ คนที่ตาบอดสีเข้าประจำในกองทัพบก เพราะคนเหล่านี้จะมองเห็นรถถังที่ทาสี พรางตัวอยู่ในภูมิประเทศ ได้ดีกว่าคน ธรรมดา

ที่มา http://www.thaigoodview.com